07 พ.ย. 2563
2410
ปรับธุรกิจด้วย Modern Marketing
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ธุรกิจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องปรับตัว เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ สาเหตุหลักคือพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป โดยใช้เวลากับโลกดิจิทัลมากขึ้น และ Social Media เข้ามามีบทบาทมากขึ้น รวมไปถึงการเติบโตขึ้นของเทคโนโลยีที่ทุกอย่างกลายเป็นออนไลน์
ทั้งการทำธุรกรรมใน Internet Banking, การซื้อของออนไลน์ในเว็บไซต์ e-Commerce, การเรียกรถหรือสังอาหารผ่านแอปพลิเคชั่น, การดูหนังฟังเพลงผ่านแอปพลิเคชั่น รวมไปถึงอีกหลายอย่างที่เดี๋ยวนี้สามารถทำผ่านสมาร์ทโฟนได้ หากธุรกิจไม่รีบปรับเปลี่ยน ก็อาจอาจถูก Digital Disruption เล่นงาน ถึงขั้นธุรกิจหยุดชะงัก ขายของไม่ได้ รวมถึงเสียโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่อย่างน่าเสียดาย และมีโอกาสหลุดจากสนามแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือด
แต่หากไม่มีประสบการณ์ในการปรับธุรกิจมาก่อน ควรจะเริ่มที่ตรงไหนดี เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ ลองมาทำความรู้จักกับการปรับธุรกิจแบบ Modern Marketing ในยุคดิจิทัล ที่เป็นรูปแบบการทำการตลาดแบบเรียลไทม์ ทันสมัย เน้นการทำการตลาดผ่านสมาร์ทโฟน และสื่อ Social Media โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้น
ปรับธุรกิจด้วย Modern Marketing เริ่มต้นอย่างไร
1. ปรับองค์กรสู่ Digital Transformation
ในยุคที่สื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีกำลังมาแรง การปรับตัวอันดับแรกคือเริ่มจาก Digital Transformation หรือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจโดยการใช้เทคโนโลยี และสื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อองค์กร เช่น การสร้างตัวตนและช่องทางการติดต่อกับลูกค้าบนโลกดิจิทัล โดยการมีเว็บไซต์, การมี Official Page ของธุรกิจบน Facebook, Instagram และ Line, การเก็บ Data ในช่องทางออนไลน์ ที่แต่ละทีมสามารถเข้าไปดูได้ และนำมาวิเคราะห์ใช้ต่อได้อย่างเกิดประโยชน์ และการใช้เทคโนโลยีอย่าง Chatbot หรือ AI มาช่วยให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบันได้มากขึ้นนอกจากการหันมาใช้เครื่องมือตามที่กล่าวไปแล้ว องค์กรยังต้องปรับทั้งแนวคิด, วัฒนธรรมองค์กร, บุคลากร, กลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาด ถึงจะเป็นการปรับที่สมบูรณ์ในระยะยาวอย่างแท้จริง
2. ทำการตลาดบนช่องทาง Social Media
เมื่อธุรกิจมีตัวตนบนโลกดิจิทัลแล้ว การที่จะทำให้เกิด Awareness ต่อธุรกิจของเราหรือการทำให้ลูกค้ารับรู้ว่ามีเราอยู่นั้น สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการทำโฆษณาออนไลน์บนช่องทาง Social Media ต่าง ๆ หรือเรียกว่าการทำ Social Media Marketing เพราะการโฆษณาออนไลน์สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ และประหยัดงบประมาณมากกว่าการตลาดแบบ Traditional Media
นอกจากนี้ข้อดีของการทำโฆษณาออนไลน์คือสามารถ Track และเก็บ Data ได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้การเลือกช่องทางหรือสื่อนั้นเราต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร เราตั้งใจให้ใครเห็น และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายใช้สื่ออะไรมากที่สุด เพื่อที่จะได้ใช้สื่อและรูปแบบการเข้าถึงได้ตรงจุด
3. ใช้ Content ที่ถูกต้องสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อธุรกิจต่างปรับตัวมาอยู่บนโลกออนไลน์ แน่นอนว่าการแข่งขันต้องสูงขึ้น แล้วอะไรที่จะทำให้เราแตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ เมื่อเราใช้สื่นเหมือน ๆ กัน การทำ Content หรือรูปแบบการนำเสนอจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ ดั่งคำกล่าวที่ว่า Content is the king
การทำ Content ที่ดี ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น Content เรียลไทม์ที่เล่นกับสถานการณ์อยู่เสมอ แต่ต้องเป็น Content ที่สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ เวลาจะสร้าง Content อะไรขึ้นมา ต้องไม่ลืมว่าตัวเราคือใคร เราจะไม่ทำ Content ที่ขัดกับแบรนด์ และสร้างผลในทางลบให้กับแบรนด์
4. เก็บ Data อย่างสม่ำเสมอ
สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจบนโลกดิจิทัลคือการทำการเก็บข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพราะข้อมูลจะเป็นสิ่งที่สามารถนำมาคิด วิเคราะห์ และต่อยอดต่อไปได้ เราอยู่ในยุคที่แข่งกันกันด้วยข้อมูล ใครที่มีข้อมูลเยอะกว่าก็ชนะ ถ้าเราเสียเงินโฆษณาไปมากมาย แต่ไม่ได้เก็บข้อมูลไว้เลยก็ถือว่าเราเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
ตัวอย่างของประโยชน์ในการเก็บข้อมูล เช่น การทำ CRM เพื่อเก็บฐานลูกค้า เพื่อทำการส่งโปรโมชั่นไปให้ และใช้ Up Sell หรือ Cross Sell ต่อไปในอนาคต
5. ใช้ระบบ Automation เข้ามาช่วย
ระบบ Automation คือการใช้ Software เข้ามาช่วยทั้งการทำกิจกรรมทางการตลาด และการขายให้เป็นไปแบบอัตโนมัติ การใช้ระบบ Automation สามารถช่วยทุ่นแรง ทุ่นเวลา และลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน เพราะระบบ Automation นั้นมาช่วยลดขั้นตอนการทำงานของคนในการทำงานซ้ำ ๆ ที่กินเวลามาก
ระบบ Automation นั้นมีทั้ง Marketing Automation, Sales Automation และระบบ CRM สำหรับกิจกรรมทางการการตลาดที่สามารถทำ Automation ได้เช่น E-mail Marketing โดยการส่งอีเมลแบบอัตโนมัติไปหาลูกค้า, การลง Content บนช่องทาง Social Media ต่างๆ และการเก็บ Leads บนเว็บไซต์แล้วส่งให้พนักงานขายต่อในทันที เป็นต้น
6. ลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง
ทุกข้อที่กล่าวมาด้านบน สิ่งที่ต้องคำนึงจริง ๆ คือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric โดยเราพุ่งเป้าหมายไปที่ User Experience หรือความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก เพราะหากเราปรับแค่ไหนแต่ไม่โดนใจลูกค้าก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทุกข้อที่กล่าวมาด้านบนนั้นคือการปรับเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด และธุรกิจจะอยู่รอดไม่ได้หากเราไม่สามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาได้
ความพอใจของลูกค้านั้นเริ่มตั้งแต่การเข้ามาใช้งานใช้งานเว็บไซต์ของเรา โดยเว็บไซต์ต้องมีความ User Friendly คือใช้งานง่าย นอกจากนี้ยังต้อง Mobile Friendly คือมีรูปแบบเว็บไซต์ที่รองรับการเข้าชมผ่านสมาร์ทโฟน และใช้เวลาในการโหลดที่รวดเร็วไม่ต้องรอนาน หากเป็นแอปพลิเคชั่นก็ควรมีการออกแบบที่ใช้งานง่าย เพื่อสร้าง User Experience ที่ดีกับลูกค้า
หากแบรนด์มีช่องทาง Social Media ก็ควรทำให้การติดต่อเป็นเรื่องง่าย หากลูกค้ามีข้อสงสัยหรือปัญหาก็ควรตอบในทันที เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเรามีความสม่ำเสมอ และเราไม่ได้หายไปไหน