09 ก.พ. 2561
8744
5 กลุ่มเป้าหมายที่ควรเห็นโฆษณาของเรา
เมื่อทำธุรกิจเราก็ต่างคาดหวังว่าจะมีคนรู้จักสินค้าของเรา และเป็นที่รู้จักอย่างหลากหลายในหมู่ผู้บริโภค และสิ่งที่สำคัญในการโปรโมทและประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้รู้จักนั่นก็คือ การทำโฆษณา เพื่อให้สินค้าของเรานั้นเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะ รวมไปถึงเป็นการบรรยายสรรพคุณ คล้ายกับการแนะนำตัวเองเพื่อให้มีคนได้รู้จัก เช่นกันการทำโฆษณานี้เองก็มีส่วนที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำเราได้ และอาจเป็นกระแสเปรี้ยงปร้างที่ทำให้สินค้าโด่งดังและขายดิบขายดีได้อีกด้วย
สำหรับการทำโฆษณาออนไลน์นั้น เราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าถึงได้ ผู้ใดที่สามารถมองเห็นโฆษณาได้บ้าง ซึ่งในปัจจุบันนี้การทำโฆษณาที่จะไปเผยแพร่ใน Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google Instagram Twitter และ Ads Network นั้นล้วนต่างก็มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการเห็นโฆษณาได้อย่างละเอียดเช่นกัน
ประโยชน์ของการกำหนดกลุ่มเป้าหมายนั้นคือ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการของลูกค้า ซึ่งสามารถทำให้เราทราบถึงความต้องการที่แท้จริงรวมไปถึงผลลัพธ์ของโฆษณาได้อีกด้วย การทำให้โฆษณานั้นถูกแสดงต่อผู้ที่ต้องการพบเห็นนั้นจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าของเราได้มากถึง 50% เพราะว่าอย่างน้อยสินค้าของเรานั้นก็ได้เป็น 1 ในตัวเลือกที่อาจเป็นส่วนที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าของเราได้ และจะได้ผลมากกว่าการทำโฆษณาชิ้นเดียวแล้วหว่านโฆษณาไปแบบเรื่อยๆ และกลุ่มเป้าหมายต่อไปนี้ คือกลุ่มที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามความต้องการของสินค้าของเรา
1.กลุ่มที่สนใจในสินค้าและบริการของเรา
ตัวอย่างเช่น เมื่อเป็นสินค้าเกี่ยวกับรองเท้า อาจจะหมายถึงผู้ที่ชื่นชอบรองเท้า คนที่ชอบใส่รองเท้าอาจสังเกตจากการติดตามแบรนด์หรือสินค้าดังๆ เพราะพวกเขาเหล่านี้มีโอกาสที่จะสนใจสินค้าของเรามากที่สุด
2.กลุ่มที่น่าจะสนใจในสินค้าของเรา
เพราะถึงแม้ว่าจะไม่สนใจในสินค้าของเราโดยตรง ช่วงวัยหรือกลุ่มคนก็มีผลที่จะทำให้สนใจในสินค้าของเราได้ และอาจมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงเช่นกัน เช่นสินค้าเกี่ยวกับแฟชั่น กลุ่มช่วงวัย 15-35 ก็อาจจะมีความชอบที่คล้ายคลึงกันได้ หรือกลุ่มคนที่ชอบแต่งตัวก็อาจมีแนวโน้มที่จะสนใจสินค้าของเราได้โดยตรงแต่ในขณะเดียวกันหากลองกำหนดกลุ่มเป้าไปยังผู้ที่ชื่นชอบออกกำลัง หรือไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่อาจไม่ได้สนใจสินค้ากลุ่มแฟชั่นโดยตรงแต่มีลักษณะพฤติกรรมและความสนใจที่ใกล้เคียงกับสินค้าเช่นกัน
3.กลุ่มที่สนใจในสินค้าและบริการของคู่แข่ง
การทำโฆษณาไปยังผู้ที่สนใจหรือคนที่เป็นลูกค้าของคู่แข่งของเรา ก็อาจมีแนวโน้มให้พวกเขาเหล่านั้นมีความสนใจในสินค้าของเราเพิ่มขึ้นได้ ในหลายครั้งมักได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการแต่อาจเสี่ยงกับต้นทุนที่สูงมากขึ้น เช่นการพิจารณาคีย์เวิร์ดของคู่แข่ง หรือการทำโฆษณาใน Facebook และ Twitter ไปยังกลุ่มคนที่สนใจในสินค้า แล้วโน้มน้าวใจให้ลูกค้าเหล่านั้นเข้ามาด้วยข้อเสนอที่น่าสนใจสุดพิเศษ เพียงเท่านี้สินค้าของเราก็เป็นที่รู้จักได้มากระดับหนึ่ง
4.กลุ่มที่มี Interaction ในเว็บไซต์ของเรา
เป็นอีกหนึ่งพื้นฐานของการทำ Retargeting ในสื่อโฆษณาออนไลน์ โดยเฉพาะ Google Analytics ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมสินค้าของเราได้ เมื่อไหร่ที่ลูกค้ามี Take Action บางอย่างกับเว็บไซต์ แล้วสามารถนำไปวิเคราะห์แบบ Retargeting ได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แสดงโฆษณากับคนที่เข้าไปอ่านรายละเอียดของสินค้า แสดงโฆษณากับคนที่หยิบสินค้าลงตระกร้าแต่ยังไม่ได้ทำการสั่งซื้อ จากนั้นใช้ Google Analytics เพื่อเก็บบันทึก Audience list ของกลุ่มคนเหล่านั้นเอาไว้เพื่อทำ Retargeting ต่อไป (การวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นสิ่งที่ตัดสินการแข่งขันของ E-commerce ในอนาคต)
5.กลุ่มที่เป็นลูกค้าเก่า
เพราะการคุยกับลูกค้าเก่านั้นเปรียบเสมือนกาสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ เพราะลูกค้าเก่านั้นมีแนวโน้มที่ซื้อสินค้าของเราเพิ่มขึ้นมากกว่าการหาลูกค้าใหม่ การมีสินค้าและบริการใหม่ก็อาจทำให้เป็นที่สนใจต่อลูกค้าเก่าได้ จึงไม่แปลกที่การทำ Remarketing จะให้ผลตอบรับที่ดีไม่ว่าจะในสื่อใดๆ ก็ตาม และที่สำคัญต้องรักษาลูกค้าเก่าเอาไว้จากมาตรฐานในการบริการของเรา เพราะเมื่อไหร่ที่เราทำให้ลูกค้าประทับใจ ลูกค้าต้องกลับมาซื้อสินค้าอย่างแน่นอน
ที่มา : hooktalk