07 มี.ค. 2561

4108

ตรวจสอบ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเว็บไซต์ by seo-winner.com

ตรวจสอบ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเว็บไซต์


แน่นอนว่าการทำเว็บไซต์นั้นต้องอาศัยการทำ SEO เพื่อเป็นการทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นสมบูรณ์ที่สุด เป้าหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือการค้นหาที่ไม่เพียงแต่ค้นหาเว้บไซตืและหน้าเว็บของเราเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องอยู่ในการแสดงผลลัพธที่อยู่ด้านบนสุดเพื่อให้กระบวนการทำงาน และกระบวนการ SE นั้นแสดงประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง และเช่นกันสำหรับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เพียงกระบวนการเดียว แต่ยังต้องมีการบำรุงรักษา การทดสอบ และการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และกระบวนการต่อไปนี้ที่จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาเว็บไซต์ของเราให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

1.วิเคราะห์ธุรกิจตลาดเป้าหมาย
- การวิเคราะห์เว็บไซต์ โดยข้อความหรือรหัสที่มองเห็นนั้นสามารถกำหนดตำแหน่งที่ต้องการสำหรับเครื่องมือค้นหาได้ 
- การวิเคราะห์การแข่งขัน ตรวจสอบคำหลักและเนื้อหาการจัดอันดับของเว็บไซต์ที่มีการแข่งขันเพื่อกำหนดกลยุทธ์ กำหนดตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยการเลือกใช้เครื่องมือที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพเราได้ด้วยเช่น Semrush.com และ Keywordspy.com
- พัฒนารายการคีย์เวิร์ดต่างๆ โดยเลือกใช้คำที่มีคำค้นหาที่ตรงกับเป้าหมายมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลกับฐานลูกค้าและส่วนการตลาดของเรา 


2.การวิจัยและพัฒนาคำหลัก
- วิเคราะห์คำหลักจากการระบุเป้าหมายของคำหลักและวลี และจากเว็บไซต์คู่แข่ง เพื่อหาคำที่ผู้ใช้งานค้นหา เพื่อให้การค้นหาของผู้ใช้งานนั้นสามารถเกี่ยวข้องกับสินค้าเราได้มากที่สุด โดยการจัดลำดับความสำคัญ เรียงตามคำหลัก วลี พหูพจน์ การสะกดคำ 
- การประเมินผลจัดอันดับ เพื่อให้ประเมินการจัดอันดับในเว็บไซต์ของเราได้อย่างถูกต้อง ควรตรวจสอบทุกๆ 30 ถึง 45 วัน เพื่อนำข้อมูลมาทำการปรับปรุงและมองเห็นถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการใช้คำหลักต่างๆ ภายในเว็บไซต์ 
- กำหนดวัตถุประสงค์ล่วงหน้าเอาไว้ เพื่อวัด ROI เช่น เราอาจตัดสินใจเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากฐานข้อมูลปัจจุบันของผู้เข้าชม 100 คนต่อวันต่อผู้เข้าชม 200 รายใน 30 วันถัดไป หรืออาจต้องมีการปรับปรุงอัตราการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นหนึ่งหรือสองเปอร์เซ็นในช่วงเวลาที่ระบุ 


3.การเพิ่มประสิทธิภาพและการนำเสนอเนื้อหา
- สร้าง Page title, Keywords เพื่อกำหนดเป็นชุดรูปแบบและทิศทางของเว็บไซต์
- สร้าง Meta tag ซึ่งส่วนนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาได้ แต่ไม่ได้มีผลโดยตรงกับการจัดอันดับ (Google ไม่ใช้แท็กคำหลักอีกต่อไป)
- วางยุทธศาสตร์การค้นหาบนหน้าเว็บ โดยการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ใส่ข้อมูลถูกต้องและเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ในอดีตแนะนำให้ใช้คำ 100 ถึง 300 คำในหนึ่งหน้า การทดสอบจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าหน้าเว็บที่มีคำ 800 ถึง 2,000 คำสามารถทำงานได้ดีกว่าคำที่สั้นกว่า ในตอนท้ายผู้ใช้ตลาดเนื้อหาและลิงก์จะเป็นตัวกำหนดความนิยมและการจัดอันดับ
- พัฒนาแผนผังเว็บไซต์ใหม่สำหรับ Google และ Bing ทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น การสร้าง XML, HTML เป็นขั้นตอนแรก และแผนผังไซต์ XML นี้สามารถส่งผ่าน Google และเครื่องมือเว็บมาสเตอร์ของ Bing ได้อย่างง่ายดาย
- การส่งเว็บไซต์ไปยังไดเรกทอรี หรือการเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเราตามธรรมชาติ โดยลิงก์เหล่านั้นจะทำให้ไซต์ของเรามีการจัดทำดัชนีเครื่องมือค้นหา อย่างไรก็ตามเมื่อส่ง URL ของคุณไปยังไดเรกทอรีเช่น Yahoo!, Business.com และ DMOZ บางคนอาจเลือกที่จะรวมสคริปต์ AdSense (google.com/adsense) ในไซต์ใหม่เพื่อให้บอท Google Media เข้าชม อาจทำให้หน้าเว็บของคุณได้รับการจัดทำดัชนีได้อย่างรวดเร็ว


4.การทดสอบและวัดผลอย่างต่อเนื่อง
- การทดสอบและการวัดผล วิเคราะห์การจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาและการเข้าชมเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของโปรแกรมที่ใช้ รวมไปถึงการประเมินผลการทำงานของคำหลักแต่ละคำ ทดสอบผลการเปลี่ยนแปลงและติดตามการเปลี่ยนแปลงในกระดาษคำนวณ Excel หรือสิ่งที่เราต้องการ
- การเพิ่มและแก้ไขคำหลัก และเนื้อหาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การปรับปรุงและการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหานั้นมีการเติบโต อีกทั้งอาจต้องมีการทบทวนกลยุทธ์การเชื่อมโยงและตรวจสอบให้แน่ใจว่าลิงก์ขาเข้าและขาออกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา







ที่มา : entrepreneur

บทความ

เหตุผลที่ WordPress ต้องใช้ Web Hosting

เหตุผลที่ WordPress ต้องใช้ Web Hosting

WordPress ต้องใช้ Web Hosting เพราะ Web Hosting เป็นที่ที่เก็บไฟล์และข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ รวมถึงทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้บนอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ... อ่านเพิ่มเติม

ทำไม Dwell Time ถึงสำคัญสำหรับ SEO

ทำไม Dwell Time ถึงสำคัญสำหรับ SEO

Dwell Time เป็นหนึ่งในปัจจัยที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจของผู้ใช้และคุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์ การเพิ่ม Dwell Time จึงเป็นวิธีที่ช่วยปรับปรุง SEO และผลการจัดอันดับของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา ... อ่านเพิ่มเติม

Traditional SEO คืออะไร

Traditional SEO คืออะไร

Traditional SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เทคนิคและกลยุทธ์ต่างๆ ในการปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา โดยการปรับแต่งทั้งด้านในและด้านนอกของเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือให้กับเครื่องมือค้นหา ... อ่านเพิ่มเติม

อัตราการแปลง (Conversion Rate)

อัตราการแปลง (Conversion Rate)

อัตราการแปลง (Conversion Rate) ใน SEO เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดความสำเร็จของเว็บไซต์ในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าหรือผู้ที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ... อ่านเพิ่มเติม

Impressions คืออะไร

Impressions คืออะไร

Impressions คือการวัดการแสดงผลของเนื้อหาหรือโฆษณาบนหน้าจอของผู้ใช้ ซึ่งช่วยให้เข้าใจถึงการเข้าถึงและการมองเห็นแบรนด์หรือเนื้อหาของเราในตลาด ... อ่านเพิ่มเติม

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Page Speed

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Page Speed

Page Speed เป็นสิ่งที่สำคัญทั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยให้ผู้ใช้มีความสุขในการใช้งาน ทำให้โอกาสในการทำอันดับในผลการค้นหาดีขึ้น ... อ่านเพิ่มเติม

Accessibility สำคัญยังไง

Accessibility สำคัญยังไง

Accessibility หรือการเข้าถึง คือการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้สามารถใช้งานได้โดยผู้ใช้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีความทุพพลภาพทางการเคลื่อนไหว การได้ยิน หรือการมองเห็น ... อ่านเพิ่มเติม

กลยุทธ์ SEO ระดับนานาชาติ

กลยุทธ์ SEO ระดับนานาชาติ

การทำ International SEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายการเข้าถึงผู้ใช้จากหลายประเทศและหลายภาษาได้ ทำให้เพิ่มโอกาสในการเติบโตในตลาดต่างประเทศ และสามารถปรับกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละตลาด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ, ยกระดับการแสดงผลในผลการ ... อ่านเพิ่มเติม

การลงโทษจาก Google

การลงโทษจาก Google

การลงโทษจาก Google มักจะเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ละเมิดกฎและข้อกำหนดของ Google Search หรือ Google Play Store ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา ... อ่านเพิ่มเติม