02 พ.ย. 2560
4307
SEO กับ PPC ต่างกันอย่างไร
ก่อนอื่นหลายคนคงรู้จักว่า SEO นั้นคืออะไร แต่หลายคนอีกเช่นกันที่ยังไม่รู้ว่า PPC นั้นคืออะไร มีความหมายหรือเกี่ยวข้องกับ SEO อย่างไร สำหรับบทความนี้จะพามารู้จักและบอกถึงข้อแตกต่างของทั้งสองตัวนี้ว่าเป็นอย่างไร มาดูกันเลย
อันดับแรกอาจต้องบอกถึงความหมายของ PPC ก่อนว่าคืออะไร PPC นั้นย่อมาจาก Pay Per Click ซึ่งเป็นส่วนโฆษณาที่แสดงในพื้นที่แสดงโฆษณาของหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google ค่าโฆษณาก็คิดตามคลิกอย่างชื่อเรียก อีกทั้งยังสามารถตั้ง Keyword ได้จำนวนมากและสามารถแสดงโฆษณาภายในไม่ถึงชั่วโมงหลังจากที่เราชำระค่าโฆษณาให้กับ Google **ในกรณีที่จ้างบริษัทรับทำ PPC คุณต้องชำระค่าบริการให้กับบริษัทรับทำ PPC และค่าโฆษณาให้ Google อีกต่างหาก
ดังนั้นสิ่งที่เป็นคำถามที่พบบ่อยจากลูกค้านั่นก็คือ SEO กับ PPC แตกต่างอย่างไรหรืออันไหนดีกว่า ควรเลือกใช้อะไร และข้อมูลต่อไปนี้อาจทำให้หลายท่านได้ทราบว่า ทั้งคู่นั้นมีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกัน ในส่วนของการนำมาเลือกใช้งานอาจต้องอาศัยเหตุผลและรายละเอียดของ SEO และ PPC ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือ พิจารณาว่าสินค้าบริการ โครงสราง สภาพเว็บไซต์ แคมเปญการโปรโมทสินค้าและบริการของคุณ เป็นอย่างไร เหมาะกับอันไหน
แท้จริงแล้ว SEO กับ PPC ไม่ใช่เป็นวิธีการโปรโมทเว็บไซต์ที่ขัดแย้งกัน แต่เป็นวิธีการโปรโมทเว็บไซต์ที่ช่วยกัน (Complement) มากกว่า ซึ่งใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กันไปจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
จุดเด่นของ SEO
ถูกกว่า PPC
เนื่องจากว่า SEO ไม่ได้เป็นโฆษณา ไม่มีค่าใช้จ่ายที่ชำระให้ Google หากคุณทำ SEO เองก็เสียค่าแรงของพนักงานอย่างเดียว หากจ้างบริษัทรับทำ SEO ก็จ่ายแค่ค่าจ้างอย่างเดียวซึ่งค่าบริการจะถูกกว่า PPC
มีประสิธิภาพมากกว่า PPC (น่าเชื่อถือมากกว่า PPC)
อัตราการคลิก (CTR) ของ SEO จะสูงกว่า PPC หลายเท่า เพราะผู้ค้นหารู้อยู่แล้วว่า PPC เป็นโฆษณาและซื้อได้
เนื่องจากว่าไม่มีวิธีที่ทำให้จำนวนค้นหาของ Keyword เพิ่มขึ้น ในกรณีที่คุณลง PPC อยู่แล้ว และอยากเพิ่มจำนวนคนที่เข้ามาเว็บไซต์ผ่าน Keyword นั้น คุณต้องเปลี่ยน PPC เป็น SEO หรือทำทั้ง SEO และ PPC
Keyword ที่ไม่ได้ทำ SEO ก็ขึ้นด้วย
เมื่อทำ SEO กับ Keyword ใด ชุด Keyword อื่นๆ ที่รวมกับ Keyword หลักนั้น และ Keyword ย่อยๆ ที่เกี่ยวข้องกันก็จะขึ้นด้วย ถึงแม้ว่าจำนวนการค้นหาของ Keyword พวกนั้นน้อยกว่า Keyword หลัก แต่ถ้ามีหลายๆ ชุด บางทีเมื่อเอามารวมกันก็แล้วมีจำนวนการค้นหามากกว่า Keyword หลักก็ได้
ตัวอย่างเช่น คุณทำธุรกิจรถเช่า และคุณต้องการโปรโมทเว็บไซต์โดยใช้ Keyword คือ “บริการรถเช่า” ซึ่งใน Keyword “บริการรถเช่า” จะมี Keyword อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น “บริการเช่ารถ” “บริการรถเช่า” “เช่ารถ” “รถเช่า” ซึ่ง Keyword เหล่านี้จะมีโอกาสขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเอาจำนวนการค้นหามารวมกันก็มากกว่าจำนวนการค้นหาด้วย Keyword หลัก
จุดด้อยของ SEO
มีความเป็นไปได้ที่ทำแล้วอาจไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะ SEO นั้นไม่ได้เป็นโฆษณา การที่จะสามารถขึ้นอยู่ในอันดับต้นอาจต้องมีการปรับปรุงรูปแบบเว็บไซต์เพื่อให้สอดคล้อง ตอบรับกับ SEO ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่นกันการขึ้นอันดับไม่ได้ขึ้นอยู่กับคู่แข่ง แต่เป็นการที่ลูกค้าทำการค้นหา และการใช้ Keyword ที่ตรงใจผู้ใช้งานมากที่สุด สิ่งที่ควรจำก็คือ ก่อนเริ่มทำ SEO ต้องเข้าใจด้วยว่า ความเป็นไปได้ที่ทำ SEO แล้วไม่ประสบความสำเร็จมีอยู่เสมอ
ใช้เวลานาน
หลังจากปรับปรุงเว็บไซต์เสร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าอันดับจะขึ้นทันที โดยปกติอันดับขึ้นบ้าง ลงบ้าง ค่อยๆ ขึ้นและใช้เวลา ซึ่งไม่เหมาะกับโปรโมชั่นที่ต้องเริ่มเร็วหรือโปรโมชั่นสั้นๆ
ใช้ Keyword น้อยกว่า PPC
เพื่อที่จะทำ SEO ต้องมี Keyword อยู่ในเว็บไซต์ และโดยปกติ 1 หน้า 1 Keyword จะดีที่สุด
เปลี่ยน Keyword ยาก
หากเปลี่ยน Keyword ที่จะทำ SEO ต้องแก้ปรับปรุงเว็บไซต์ทั้งหมดอีกรอบหลังจากปรับปรุงเว็บไซต์เสร็จก็ต้องใช้เวลาอีกกว่าจะเห็นผล ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทำ SEO แล้วต้องใช้ Keyword ตลอด หากทำ SEO และได้อันดับต้นๆ แต่ไม่ได้ผลก็ต้องคิดต่อว่า
การใช้งานภายในเว็บไซต์ไม่ดี หรือ Keyword ไม่ตรง แต่อยากให้ทราบว่าก่อนที่จะทำ SEO ต้องคิดดีๆ ต้องเลือก Keyword ดีๆ เพราะหากเลือก Keyword ที่ไม่ดี และเปลี่ยน Keyword บ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน SEO ของเราก็จะไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ
มีบางเว็บไซต์ที่ไม่สามารถทำ SEO ได้
หากโครงสร้างเว็บไซต์ไม่เหมาะกับ SEO ทำ SEO ไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่เต็มที่
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะ ดังนี้
– เว็บไซต์ที่เน้น Design สวยอย่างเดียว
– เว็บไซต์ที่ใช้ Flash, หรือรูปภาพอย่างเดียว และไม่มีเนื้อหา
– ใช้ CMS หรือ Shopping Cart ที่แก้ Meta Tag ไม่ได้ หรือแก้ได้แต่ไม่ทุกหน้า
– เว็บไซต์ที่สร้างใน E-Commerce Mall ต่างๆ ที่แก้อะไรไม่ค่อยได้
– Global Website ที่แก้เฉพาะหน้าภาษาไทยไม่ได้
– ภาษาที่ใช้ในเว็บไซต์ กับ Keyword ที่จะทำไม่ตรงกัน
– Facebook Page
– อื่นๆ
เมื่อเห็นจุดเด่นและจุดด้อยของ SEO แล้ว หลายคนอาจเห็นว่ายังมีบางข้อที่ไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ ดังนั้นมาดูจุดเด่นและจุดด้อยของ PPC เพื่อช่วยให้ประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นกันดีกว่า
จุดเด่นของ PPC
สามารถใช้ Keyword ได้จำนวนมาก
PPC สามารถตั้ง Keyword ได้สูงสุดถึง 5 ล้าน Keywords และไม่จำเป็นว่า Keyword ที่คุณตั้งใน PPC จะต้องมีอยู่ในเว็บไซต์ด้วย
สามารถเปลี่ยน ลบ เพิ่ม Keyword / คำโฆษณาได้ง่าย และทันที
PPC สามารถเปลี่ยน ลบ หรือเพิ่ม Keyword ได้ง่ายๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะมีผลทันที และสามารถสร้างคำโฆษณาได้หลายแบบตาม Keyword อีกด้วย และสามารถบริหาร PPC แบบแสดงคำโฆษณา A สำหรับคนที่ค้นหา Keyword กลุ่ม A และแสดงคำโฆษณา B สำหรับคนที่ค้นหา Keyword กลุ่ม B ก็ได้ นอกจากนั้น ยังสามารถตั้งคำโฆษณาหลายๆ คำโฆษณา สำหรับ Keyword กลุ่มเดียวกัน เพื่อทำ A/B Test และเลือกใช้คำโฆษณาที่ทำให้ได้คลิกมากที่สุดก็ได้
ใช้เวลาสั้น
PPC ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเพื่อที่จะเริ่มลงโฆษณา และหยุดได้ทันทีซึ่งสามารถใช้กับโปรโมชั่นที่มีเวลาจำกัดที่ SEO ไม่สามารถทำได้
ไม่ต้องปรับปรุงเว็บไซต์
PPC ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อลงโฆษณา ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยมีเนื้อหา มีแต่ Flash หรือ รูปภาพ อย่างเดียวได้ แต่ SEO ไม่สามารถทำได้
จุดด้อยของ PPC
แพงกว่า SEO
เพราะนอกจากต้องชำระค่าโฆษณาให้กับ Google แล้วยังต้องชำระค่าบริการให้กับบริษัทที่เราว่าจ้างอีกด้วย ซึ่งค่าบริการรวมทั้งหมดของ PPC จะแพงกว่า SEO เพราะ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับ Google
มีประสิทธิภาพน้อยกว่า SEO (น่าเชื่อถือน้อยกว่า SEO)
ผู้ค้นหารู้อยู่แล้วว่า PPC เป็นโฆษณาที่เน้นขายมากกว่า และเมื่อคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ หน้าของเว็บไซต์บางทีก็ไม่ตรงกับ Keyword ที่พิมพ์ลงไป ซึ่งผู้ค้นหาอาจมองว่าไม่น่าเชื่อถือเท่า SEO อีกทั้งผู้ค้นหายังรู้ว่าโฆษณา PPC สามารถซื้อตำแหน่งเพื่อขึ้นโฆษณาได้ เพียงแค่จ่ายเงินให้กับ Google จึงทำให้อัตราการคลิก (CTR) น้อยกว่า SEO
บริหารยาก
การเริ่มลงโฆษณา PPC ง่ายมาก เพียงแค่มีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตก็สามารถลงโฆษณาได้เลย แต่ถ้าต้องการที่จะบริหารโฆษณา PPC ให้มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากอีกเรื่องหนึ่ง เพราะจะต้องศึกษา เรียนรู้ และเก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆ อีกทั้งความรู้ที่ใช้ในการบริหาร PPC ก็เป็นความรู้แบบเฉพาะเท่านั้น และหากคิดจะจ้างบริษัทรับทำ PPC ก็ตาม ก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับโฆษณา PPC บ้าง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถวัดได้เลยว่า บริษัทที่เราว่าจ้างนั้นทำให้การลงโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพดีหรือไม่
มีการแกล้งคลิก
Google ระบุว่าการแกล้งคลิกที่เห็นชัดเจนว่าเป็นการคลิกที่มาจากที่เดียวกัน (IP เดียวกัน) Google จะไม่คิดค่าคลิก แต่คลิกที่ (Google คิดว่า) ไม่ชัดเจนจะถูกคิดค่าใช้จ่ายตามปกติ คุณสามารถแจ้งขอคืนค่าคลิกที่เสียไปเปล่าๆ จาก Google ภายหลังได้ แต่คุณต้องเตรียมข้อมูลทั้งหมดเอง และแจ้งไปยัง Google เอง ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะได้คืนเงินจริงๆ
**เพราะมีคู่แข่งที่ตั้งใจแกล้งคลิกโฆษณา PPC โดยให้เราเสียค่าคลิกไปเปล่าๆ และนอกจากนั้นมีบริษัทที่บริการรับแกล้งคลิกอีกด้วย
เหตุผลทั้งหมดข้างต้นอาจช่วยตอบคำถามที่หลายคนสงสัยได้ และพอจะทราบแล้วว่าสำหรับธุรกิจของเรานั้นควรต้องใช้ตัวใด พิจารณาประกอบควบคู่กับประเภทของสินค้าบริการของเราให้มากที่สุด เพื่อให้เหมาะสมและไม่สิ้นเปลืองในการใช้งานบางส่วนจนเกินจำเป็น
ที่มา : h1