03 พ.ย. 2561
3234
สิ่งที่ Online Marketing ควรรู้ เกี่ยวกับ Facebook
เมื่อการตลาดออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับทางโซเชียลมากขึ้น ผู้คนก็ได้ไปหันใช้ช่องทางแพลตฟอร์มต่างๆ ในการทำการตลาดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด จึงอาจสังเกตเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ของธุรกิจมักจะมีครบทุกช่องทางต่างๆ บนโซเชียลที่ไม่ว่าเราจะติดกับแพลตฟอร์มใดก็สามารถพบเจอแบรนด์สินค้าเหล่านี้ได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ Facebook ได้ทำการปรับการค้นหา หรือการเข้าถึงแบบธรรมชาติ หรือแบบที่เรียกว่า Organic Reach และอาจจะมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อยๆ รวมไปถึงธุรกิจที่มีการใช้ช่องทาง Facebook เป็นหลักก็อาจจะต้องมีการตื่นตระหนกและปรับตัวกันยกใหญ่เลยก็ว่าได้ และ 5 เหตุผลต่อไปนี้ที่จะช่วยไขข้อสงสัยและเพิ่มความชัดเจนในข้อมูลให้กับผู้ทำการตลาดออนไลน์ทั้งหลายรวมไปถึงผู้ประกอบการทุกท่ายได้ทราบ เพื่อที่ว่าอาจนำปัญหาที่เกิดขึ้นกับธุรกิจไปแก้ไขได้ในอนาคต
ยอด Like ไม่ใช่ตัวกำหนด
เมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบันนี้ยอดไลค์อาจจะไม่ได้เป็นตัวกำหนดทั้งหมดในธุรกิจก็ได้ เพราะบริการการซ์้อยอดไลค์ไม่ว่าจะเป็นเพจหรือโพสต์ เราก็สามารถเพิ่มให้มีมากขึ้นได้ตามราคาที่เรามีความต้องการหรือพอใจในราคาที่จะจ่ายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่ทั้งนี้เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายอดไลค์ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรานั้นตัดสินใจด้วยเช่นกัน และยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้จำนวนไลค์ต่างๆ อาจจะต้องสอดคล้องกันทั้งหมด หากเพจที่มียอดไลค์มาก แต่การติดตามโพสต์นั้นน้อยหรือไม่มีการเข้าถึงเลย สิ่งนี้ก็ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติและไม่น่าเชื่อถือนั่นเอง และล่าสุดคือ Facebook ได้ปรับการเข้าถึง โดย Organic Reach ถูกจำกัดและลดลงอย่างมาก หากเพจของเรานั้นมีเนื้อหาที่ไม่น่าสนใจหรือดึงดูดมากพอ การมียอดไลค์ในระยะยาวก็อาจลดลง เป็นต้น อีกอย่างหนึ่งคือหากยอดไลค์ในโพสต์ของเรานั้นมีมากพอที่จะสู้กับ Content อื่นๆ ได้มากพอแล้ว ที่สำคัญอย่าลืมว่าเนื้อหาภายในก็มีความสำคัญที่จะทำให้โพสต์นั้นๆ หรือโพสต์อื่นๆ ในเพจของเรามีความน่าสนใจโดยธรรมชาติอีกด้วย
ราคาโฆษณาอาจมีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต
เป็นสิ่งที่เฟสบุ๊กนั้นอาจทำการคาดหมายเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เมื่อเพจต่างๆ ได้จำกัดการเข้าถึงแบบธรรมชาติ หรือ Organic Reach ลดลง และหากต้องการที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าอื่นนั้นเห็นโพสต์มากขึ้นก็ต้องทำการโฆษณาหรือโปรโมทนั่นเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ธรรมชาติของการทำธุรกิจก็คือ ถ้าหากเขาโฆษณาได้ เราก็ทำได้เช่นกัน และเมื่อมีการโปรโมทจำนวนมาก ส่งผลให้คู่แข่งที่มีการทำโฆษณาต่างๆ ก็มีมากขึ้นไปด้วย และในอนาคตการที่จะทำให้โพสต์ต่างๆ ติดหน้าฟีดก็อาจมีราคาเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้
การประเมินกลุ่มลูกค้าที่มาจาก Facebook
Facebook จะช่วยประเมินกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าที่เข้ามาดูเพจของเราได้ และเช่นเดียวกันหากมีตัวเลขที่น้อยเกินไปสวนทางกับยอดไลค์ที่สูงนั่นหมายถึงผู้ที่เข้ามาเพจอาจจะไม่ได้คลิกลิงก์มากเท่าไหร่ หรือเพจเรานั้นอาจไม่มีความน่าเชื่อถือก็เป็นได้ Facebook จึงอาจจะไม่ใช่หนทางสุดท้ายในการทำการตลาดเสมอไป และเราอาจพบว่าพฤติกรรมต่างๆ เหล่านั้นอาจมาจากพฤติกรรมการค้นหาจาก Google ก็เป็นได้ และสิ่งนี้อาจหมายถึงว่าการสร้างเว็บไซต์แล้วทำให้ติอับดับต้นๆ ในการค้นหาอาจตอบโจทย์มากกว่า
การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองมั่นคงกว่า
Facebook นั้นเป็นเพียงช่องทางหนึ่งที่มีไว้เพื่อติดต่อและสื่อสารกัน เมื่อวันหนึ่งกลายเป็นช่องทางในการทำการตลาดและธุรกิจต่างๆ ก็ส่งผลให้ธุรกิจนั้นสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น แต่หากมองให้ลึกลงไปอีกที Facebook อาจไม่ใช่สิ่งยั่งยืนที่จะทำให้เรานั้นฝากชีวิตหรือฝากธุรกิจไว้ที่นั่นตลอดไป และในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ นั่นหมายถึงว่าการที่ธุรกิจนั้นมีหรือสร้างเว็บไซต์ให้เป็นของตัวเองนั้นจะมั่นคงและมีความน่าเชื่อถือมากกว่านั่นเอง และการทำการตลาดที่ถึงแม้ว่าจะมีขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นแต่ก็สามารถความมั่นใจและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเราได้มากกว่าแพลตฟอร์มรูปแบบอื่นๆ แต่การมีแพลตฟอรืมอื่นๆ ประกอบก็จะช่วยให้ธุรกิจของเรามีความน่าสนใจและมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยสมกับเป็นธุรกิจในยุค 2018 นี้อีกด้วย
ที่มา : blog.metrabyte