17 เม.ย. 2563
2814
ขายของด้วยกลยุทธ์การตลาด Personalization
เมื่อเทคโนโลยีและข้อมูลก้าวหน้าขึ้น กลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization ก็ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะคนด้วยคอนเทนต์ สินค้า บริการ ช่องทางการสื่อสาร ราคา และประสบการณ์ที่เหมาะกับคนๆนั้นได้
ทำไมต้องทำกลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization ?
ถ้ามองในแง่ของคนทำธุรกิจ ก็คือกำไรที่มากขึ้น จากสถิติอ้างว่าการทำการตลาดแบบ Personalization ช่วยเพิ่มกำไรอีก 15% สำหรับแบรนด์ที่ตระหนักถึงความต้องการของผู้บริโภค แต่ถ้ามองในแง่ของผู้บริโภค กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้ 75% ของผู้บริโภคมาซื้อของที่ร้านโดยเฉพาะร้านคต้าปลีกมากขึ้นหากร้านนั้นจำชื่อลูกค้าได้ คอยดูและแนะนำทางเลือกใหม่ๆโดยดูจากประวัติการซื้อของ ซึ่ง 81% ของผู้บริโภคอยากให้แบรนด์จำตัวลูกค้าได้ รู้ว่าเวลาไหนที่แบรนด์ควรเข้าไปดูแลลูกค้าและเวลาไหนไม่ควร
ทำไมกลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization มีความสำคัญในตอนนี้ ?
เพราะเอาเข้าจริงแนวคิดนี้มีมาเกิน 6 ปีแล้วแต่ที่แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเพราะเหตุผลต่อไปนี้
1. ธุรกิจให้ลูกค้าเป็นฝ่ายคุมประสบการณ์ในการเสพย์สินค้าและคอนเทนต์ได้มากขึ้นเพื่อให้ลินค้าและบริการแตกต่างจากคู่แข่ง
2. ขั้นตอนกระบวนการในการซื้อของถูกขยายด้วย Internet of Things เครื่องมืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้จะเป็นตัวรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภค ทำให้การทำ Personalization ก็ง่ายขึ้น
3. ความก้าวหน้าของ Artificial Intelligence ทำให้นักการตลาดเข้าถึงและช่วยเหลือลูกค้าแต่ละรายเร็วขึ้น
4. โมเดลธุรกิจแบบ Peer-to-peer ได้รับความนิยม
กลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization ทำอย่างไร?
1. ต้องมีข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือก่อน: จะสื่อสารกับลูกค้า ต้องรู้จักลักษณะของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ เพศ ที่อยู่ การศึกษา ไลฟ์สไตล์ พฤติกรรม ทัศนคติ และข้อมูลอื่นๆที่เป็นเรื่องพื้นฐาน ทางที่ดีควรใช้เครื่องมือพวก Analytics ให้เป็นไว้เก็บและดูพฤติกรรมของคนใช้งานเว็บไซต์ด้วยว่าให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ส่วนไหนมากที่สุด และใช้เวลาเท่าไหร่
2.ทำ Persona: ลองสรุปบุคลิก ความคิดและความสนใจของลูกค้าหรือผู้ดูคอนเทนต์ รวมถึงแรงกระตุ้นในการซื้อของและการใช้ชีวิต
3. มีทีม มีทรัพยากร พร้อมทดลองทำคอนเทนต์และอัพเดทข้อมูล: เพราะ Persona ที่มีก็เหมือนกับสมมติฐานว่าลูกค้าจะต้องมีพฤติกรรมแบบเดียวกับข้อมูลที่เราไปหามาเป๊ะๆ เราทำได้เพียงแต่ทดลองทำคอนเทนต์หรือชิ้นงานโฆษณาหลายๆแบบที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน(และต่างกัน) ซึ่งต้องใช้เวลาและกำลังคน
4.ทดลองทำคอนเทนต์ โฆษณา: เนื้อหา รูปแบบ ขนาด โทน ตำแหน่ง ทิศทางของคอนเทนต์ในแต่ละเว็บเพจและสื่อสังคมออนไลน์ และอย่าลืมสร้าง Call to action กระตุ้นให้คนมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ด้วย
5.การวัดผล คล้ายกับขั้นตอนแรก แต่คราวนี้จะดูพฤติกรรมของคนที่เข้ามาดูเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ว่าเปลี่ยนไปแค่ไหน ตอบรับมากขึ้น ใช้เวลามากขึ้นกับคอนเทนต์ส่วนไหน ซึ่งข้อมูลพวกนี้ไปดูได้จากเครื่องมือจำพวก Analytics หรือคนที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ที่เราติดตั้งให้กับเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์
และพอรู้ข้อมูลที่วัดผลแล้ว เราก็สามารถจำแนกกลุ่มลูกค้า ซอยย่อยได้ละเอียดขึ้น คอนเทนต์ที่จะต้องทดลองต่อไปก็ต้องหลากหลายขึ้น ฉะนั้นการทำ Personalization มันต้องใช้เวลานาน และต้องใช้คน และที่สำคัญคือไม่ใช่แค่คอนเทนต์เท่านั้นที่เราจะทำ Personalization ได้ เราอาจจะไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบตัวสินค้าหรือบริการ คำแนะนำสินึค้า หรือการตั้งราคา เพราะแต่ละคนก็ประเมินค้าสินค้าตัวเดียวกันแตกต่างกัน
ที่มา : marketingoops