11 ต.ค. 2564
1528
เทคนิคการทำ SEO ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนยุคใหม่
เชื่อว่าทุกๆ ท่านที่ทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ที่มีเว็บไซต์จะต้องรู้จักคำว่า "SEO" หรือ Search Engine Optimize อย่างแน่นอน เพราะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกของ Google นั่นเอง ดังนั้นการทำ SEO จึงสำคัญมาก ยิ่งเว็บไซต์เราติดหน้าแรก และมีคนดูมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลต่อยอดขาย/ธุรกิจเรามากขึ้นเท่านั้น
การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ให้สำเร็จนั้น ต้องเข้าใจปัจจัยทั้งภายใน และภายนอกที่อาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ แต่การทำ SEO จริงๆ นั้นไม่มีสูตรที่ตายตัว เพราะแต่ละแบรนด์ แต่ละธุรกิจนั้น มีการใช้ SEO ที่ไม่เหมือนกันเพียงแค่คล้ายๆ กันเท่านั้น แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ SEO ต้องเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจะสื่อสาร
สิ่งที่จะช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพขึ้น สำหรับยุคนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ keyword ที่เราใช้ค้นหาเพียงอย่างเดียว สำหรับวันนี้เราได้นำสิ่งที่นักวิเคราะห์ได้แนะนำเทคนิคการทำ SEO ที่ Google จะชอบ โดยมี 3 หลักการด้วยกัน และส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่การวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในยุคนี้
1. โฟกัสที่การทำ ROI ไม่ใช่แค่วัดจากความถี่ของลูกค้า
ธุรกิจส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ ‘Landing page’ คือ หน้าที่คนคลิกเข้ามาแล้วเห็นเรา เห็นแบรนด์เราตั้งแต่แรกเพื่อให้เกิดความประทับใจ แต่น้อยมากที่จะนึกถึงการสร้าง ‘Conversation’ การทำให้เกิดการพูดคุย พูดต่อปากต่อปาก
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า 100 คนเข้ามาในเว็บไซต์เรา เราจะเก็บข้อมูลแค่ตัวเลข 100 คน แต่เราไม่นึกต่อยอดว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ 5 คน (ที่เยี่ยมชมเว็บไซต์นาน) เกิดความประทับใจ หรือแค่ 3 ใน 5 คนเปลี่ยนใจมาซื้อสินค้าเราได้ในที่สุด
จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมธุรกิจ นักการตลาด แบรนด์ ถึงหันมาให้ความสำคัญกับ Return on Investment (ROI) การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะนอกจากจะยั่งยืนกว่า เกิดการพูดต่อ เกิดความประทับใจ ยังทำให้เราได้ข้อมูลลูกค้าสำหรับการวิเคราะห์ต่อมากขึ้นอีกด้วย (จาก Conversation บนโลกโซเชียลมีเดีย ฯลฯ)
2. แทนที่จะใช้ keyword เยอะๆ เราก็ใช้ first-party data แทน
แบรนด์สามารถจัดการกับความรกของ keyword ได้ด้วยการแทนที่ข้อมูล first-party ซึ่งก็คือ ข้อมูลที่เรามีความเป็นเจ้าของ เพราะเราผู้เก็บรวบรวมเองจากกลุ่มผู้ใช้ หรือลูกค้าของเราเองโดยตรง
ดังนั้น เราเองจะรู้ดีที่สุดว่าสื่อสารแบบไหนถึงจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเราได้ เราก็สามารถหยิบข้อมูล first-party มาใช้ได้เลย ด้วยการระบุวิธี, แบรนด์, ชื่อเจ้าของบริษัท ฯลฯ แทนที่คำค้นหากว้างๆ
ยกตัวอย่างเช่น บทความแนะนำวิธีการดัดฟัน สำหรับ keyword จากที่เราอาจจะใช้คำว่า “Invisalign” (การจัดฟันแบบใส) หรือ รีเทนเนอร์ เพราะดูเป็นคำเฉพาะเจาะจง และภาษาทางเทคนิคมากเกินไป โดยเราสามารถแทนที่ด้วยคำง่ายๆ แค่ “การจัดฟัน” หรือ “ชื่อคลินิกที่เป็นลูกค้าเรา” หรือ “ชื่อทันตแพทย์ชื่อดังที่คนรู้จักเยอะ” (กรณีที่เป็นลูกค้าของเรา) เป็นต้น
3. จัดลำดับความสำคัญในการรักษา (ลูกค้าเก่า)
การหาลูกค้าใหม่มักจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเสมอ และค่าใช้จ่ายนั้นๆ มากกว่าการรักษาลูกค้าเดิมถึง 5 เท่าตัว นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมเรายังต้องลงทุนกับการสร้างคอนเทนต์ หรือทำให้หน้าเว็บไซต์น่าดึงดูดอยู่เสมอ ซึ่ง SEO ที่ดีไม่ใช่แค่การดึงดูดกลุ่มคนใหม่ๆ เข้ามา แต่ต้องทำให้ลูกค้าเดิมอยู่กับเราแบบ #คงที่
อิทธิพลของ SEO ที่ดีในยุคนี้ ก็คือ การทำให้ทั้งกลุ่มเป้าหมายใหม่ และกลุ่มเป้าหมายเดิมมีการค้นหาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากการดีไซน์หน้าเว็บไซต์ที่ดี การรับฟังลูกค้าเสมอยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ต้องทำ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนก็ตาม
ที่มา : martech