24 ก.ย. 2564
1767
เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า “FOMO”
เป้าหมายสูงสุดของการสร้างแคมเปญโฆษณาสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ ก็คือ การที่จะทำให้ลูกค้าได้ตัดสินใจซื้อสินค้าของเราได้ทันที ซึ่งการเขียน Copywriting หรือการเขียนโฆษณาที่ดี เป็นอีกวิธีการที่จะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้
และถ้าหากคุณกำลังเจอกับปัญหาเหล่านี้ ที่เขียน Copywriting ยังไงก็ไม่มีคนอ่าน มีคนอ่าน แต่ไม่มีคนซื้อ ไม่ส่งผลให้เกิดยอดขายได้ เราจึงนำบทความในวันนี้มาแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ทุกคนกันค่ะ นั่นก็คือ การเขียนข้อความดึงดูดให้คนตัดสินใจ “ซื้อ” ได้ง่ายมากขึ้น จากเทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า “FOMO” ค่ะ
FOMO คืออะไร? “FOMO” ย่อมาจาก “Fear of Missing Out” หรือความรู้สึกกลัว อาการของคนที่กลัวว่าจะพลาดบางสิ่งบางอย่างไป และจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความกลัวเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ แต่ความกลัวในรูปแบบนี้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เมื่อ social media เข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
FOMO เป็นจิตวิทยาที่สามารถทำให้ผู้คนตัดสินใจทำบางสิ่งเช่น ซื้อสินค้า ลงทะเบียน หรือคลิก ในช่วงขณะนั้นได้ ในแง่ธุรกิจ SMEs ก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์จาก FOMO ในการทำการตลาดดิจิทัลได้เช่นกัน โดยการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ต้องการพลาด หรือปล่อยให้โอกาสให้หลุดมือไป เราจะเห็นไวรัลแคมเปญต่างๆ ที่มักจะกระตุ้นให้ลูกค้าเห็นว่าคนรอบตัวซื้อสินค้านี้แล้วตนเองก็ต้องซื้อด้วย
เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า “FOMO” มีทั้งหมด 9 ข้อ มาดูกันเลยค่ะ
- 1.ใช้เงื่อนไขเรื่องเวลา
การตั้งเงื่อนไขเรื่องของเวลาสามารถกระตุ้นการตัดสินใจด้วยความกดดันภายใต้เวลาที่กำหนดได้ การจัดแคมเปญต่างๆ จำเป็นที่จะต้องกำหนดเรื่องของเวลาจริงๆ ห้ามต่อระยะเวลาเด็ดขาด เพราะลูกค้าจะคิดว่าเป็นการหลอกลวง อาจส่งผลต่อเสียชื่อเสียงของแบรนด์ได้ เช่น มอบส่วนลด 20% หากสั่งซื้อภายใน 48 ชั่วโมง หรือจัดส่งฟรีในเดือนนี้เท่านั้น พอหมดเวลา ข้อเสนอก็จะหมดไปทันที
- 2. พลังของ Influencers
คำพูดของผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดในโลกโซเชียลสามารถกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี การใช้ Influencers จะมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม Instagram นอกจากนี้ยังสามารถนำคำพูดของ Influencers ไปใช้ในช่องทางอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น เอาไปใช้ในหน้า Page หรือ ในคลิป video โปรโมท และอื่น ๆ
- 3. เสียงตอบรับหรือรีวิวจากลูกค้า และข้อมูลทางวิชาการ
ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุด แต่ต้องนำไปใช้ในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะใช้ช่วง the bottom of the funnel เพราะลูกค้าค่อนข้างพร้อมที่จะตัดสินใจซื้อ ในสถานการณ์ที่มีการแย่งกันซื้อสินค้าหรือของกำลังจะหมด สถานการณ์เหล่านี้มีนัยว่ามีบางสิ่งเป็นที่นิยมชมชอบของคนอื่น ๆ ถ้าไม่เลือกรีบซื้ออาจพลาดสิ่งดี ๆ ไปก็ได้ สิ่งนี้สามารถกระตุ้น FOMO ได้ดีทีเดียว
- 4. ขายสินค้าหรือบริการแบบควบรวม
การจัดแพ็ครวมสินค้าหรือบริการได้รับความนิยมมากในหลายธุรกิจ เช่น การขายพ่วงในธุรกิจโทรคมนาคม บริการอินเทอร์เน็ต รวมถึงบริการทีวีแบบรับสมาชิกหรือ Cable TV หรือการเสนอให้ลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝาก บัตรเครดิต หรือสินเชื่อสวนบุคคล ควบคู่กับการขายหน่วยลงทุนหรือประกันภัยของธุรกิจธนาคาร การจัดแคมเปญขายสินค้าในลักษณะควบรวม ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายน้อยลงกว่าเดิม และยังสามารถนำกลยุทธ์เรื่องของเวลาเข้ามาใช้ร่วมด้วยก็ได้
- 5. ภาษากระตุ้นยอดขาย
ภาษามีความสำคัญอย่างมาก ในการสร้างความรู้สึกต่อ FOMO เมื่อต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่าเวลากำลังจะหมดไปและกำลังจะสูญเสียข้อเสนอที่น่าสนใจ อาจใช้คำที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกได้ เช่น อย่าพลาด ของมีจำนวนจำกัด ทุกชิ้นราคาเดียว โอกาสทองใกล้หมดแล้ว ลดสุดขีด ลดล้างสต๊อค ฯลฯ เป้าหมายคือการส่งสารว่าหากลูกค้าไม่ทำอะไรตอนนี้ พวกเขาจะเสียใจกับการตัดสินใจนั้น
- 6. กระจายช่องทางเผยแพร่ การตลาดแบบ FOMO ไม่ได้เพียงแค่ส่งเสริมการขาย
ยังมีประโยชน์ในการสร้างแบรนด์ได้อีกด้วยโดยเฉพาะหากใช้วิธีการหลอมรวมช่องทางการสื่อสาร แบบ omnichannel เช่น ส่งอีเมลเพื่อโปรโมตช่องทางพอดคาสต์ โดยมีโปรโมชั่นพิเศษในพอดคาสต์เท่านั้น ไม่สามารถเห็นได้จากที่อื่น การเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ กัน จะช่วยสร้างผู้ติดตาม ในหลายช่องทาง และช่วยสร้างการจดจำแบรนด์และความภักดีได้อีกด้วย
- 7. ข่าวสารเฉพาะกับกลุ่ม
ใครว่าลีดต้องเป็นแค่ลีดตลอดไป เราสามารถเปลี่ยนพวกเขาได้ ด้วยการเสนอคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ให้แก่กลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นลูกค้า แต่เป็นการให้ในจำนวนจำกัด แม้ต้องการใช้การตลาดแบบ FOMO เพื่อสร้างลีดมากกว่าการขาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจออกมาเหมือนกันได้
- 8. เสียงจาก UGC
แม้ว่าการรีวิว เสียงตอบรับ Influencers หรือสิ่งที่เรียกว่า social proof จะมีอิทธิพลต่อลูกค้าหรือผู้บริโภค แต่ก็ไม่ควรมองข้ามกลุ่มผู้ติดตามที่ยินดีสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับแบรนด์ ของคุณหรือที่เรียกว่า UGC (User Generated Content) ผู้ติดตามเหล่านี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า หรือไกลกับลูกค้าเหมือนดาราและ Influencers ตรงกันข้ามพวกเขาใกล้ชิดเป็นเพื่อน หรือคนในครอบครัวเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเสียงของผู้ติดตามเหล่านี้มีความน้ำหนักอย่างมากต่อความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย สามารถนำไปใช้เพื่อการตลาดแบบ FOMO ได้เช่นกัน
- 9. ใช้ Pop-Up คูปอง
อีกหนึ่งวิธีที่ดีในการสร้าง FOMO ให้กับผู้คนคือการใช้คูปองแบบ Pop-Up ที่จะให้โอกาสแค่ครั้งเดียว ซึ่งอาจเป็นการให้ส่วนลดหรือมอบสิทธิพิเศษอื่น ๆ ป๊อปอัปคูปองมักจะปรากฏขึ้น เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณกำลังปิดแท็บหรือหน้าต่างเบราว์เซอร์ ไม่ควรพลาดที่จะใช้วิธีนี้ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้รู้ว่าพวกเขาได้รับโอกาสที่ดีแล้ว
FOMO marketing จะใช้ได้ผลจริงจำเป็นต้องกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเร่งตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว หากวางแผนโปรโมทดี ๆ กลยุทธ์ FOMO จะช่วยการขายได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ